วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

เดินป่า ชมผา ดอยหลวงตาก



สวัสดีครับ ทุกท่าน ครั้งนี้มีทริปที่ไม่ได้คาดหมายมาฝาก เพราะรู้ล่วงหน้าแค่ 4 วัน จากน้องที่เพิ่งรู้จักกันซึ่งเป็น Trip Manager (TM) และตัดสินใจว่าจะร่วมทีมก่อนเวลาแค่ 10 ชม. เลยเตรียมตัวไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เป็นทริปสั้นๆ 2วัน1คืน อีกทั้ง TM และทีมงาน เตรียมการไว้หมดแล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ทริปที่ว่าคือ เดินป่า ชมผา ดอยหลวงตาก” 



ข้อมูลเบื้องต้น


เชื่อว่าหลายๆคนในวงการนักผจญไพร คงไม่เคยได้ยินชื่อ ดอยหลวงตาก มาก่อน ตัวผมเองทั้งที่เป็นคนจ.ตากก็เช่นกัน เมื่อได้รับคำเชิญชวนแล้วก็หาข้อมูล จึงทราบว่า เป็นยอดเขาความสูงประมาณ 1100 เมตร รอยต่อระหว่างอช.ตากสินมหาราชกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น ในพื้นที่ ต.ทุ่งกระเซาะ อ.บ้านตาก จ.ตาก เขตความรับผิดชอบของ วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข(วนอุทยานจะมีขอบเขตความรับผิดชอบ และกำลังพลน้อยกว่าอุทยาน) จนท.บอกว่าวิวจะสวยมากหากมาเที่ยวในช่วงฤดูฝน มีทะเลหมอก แต่ก็จะมีหน่วยกาชาดท้องถิ่นเต็มพื้นที่เช่นกัน และทางก็จะอันตรายมากด้วย


ที่นี่ไม่ได้เปิดให้ท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่จะปิดในช่วงเดือน ก.พ. ถึงมิ.ย. เนื่องจากเกรงอันตรายจากไฟป่า และแหล่งน้ำแห้ง ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่หมายเลข 085-0504541 พี่ล้วน หรือ 087-8441675 คุณหนา ซึ่งเป็นจนท.ของวนอุทยานฯ ซึ่งทริปผมก็ได้พี่ล้วนเป็นจนท.นำทาง พร้อมลูกหาบอีก 2 ท่าน


การเตรียมตัว


อย่างที่บอก เป็นทริปที่ผมแทบไม่ได้เตรียมตัวเลย ยังดีที่ได้ออกกำลังเป็นระยะๆ เลยพอจะขึ้นดอยไหว ระหว่างเดินทางเพื่อนร่วมทริปสอบถามว่า ไปโมโกจูมาแล้ว ขึ้นดอยแบบนี้ก็สบายเลยสิ เอ่อ..... มันไม่เหมือนเล่นเกมส์นะคร้าบ ที่ถ้าเราผ่าน LEVEL ต่างๆไปแล้ว เราก็จะค้างอยู่แบบนั้นไม่ต้องลงมา LEVEL ต่ำอีก แต่การขึ้นเขาขึ้นดอยแต่ละครั้งก็ต้องเริ่มที่จุดเดียวกัน และเหนื่อยทุกครั้ง ไปที่ยากๆมาแล้วอาจมีข้อดีที่ว่าเราจะรู้จังหว่ะการเดิน และรู้ขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ได้เก่งหรือชำนาญกว่าคนอื่นๆเลย ดังนั้นถ้าเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมได้ดีที่สุด จะได้ผจญไพรอย่างมีความสุข


ซึ่งอย่างที่บอก TM จัดไว้พร้อมหมดแล้วผมก็เพียง เตรียมอุปกรณ์ ของใช้ส่วนตัว และใจ ให้พร้อมที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ และเพื่อนร่วมทริปใหม่ทั้ง 7 ท่าน



วันแรก เริ่มต้นทริป


เนื่องจากเราเป็นนทท.เพียงกลุ่มเดียวในวันนั้น จึงเป็นไปแบบสบายๆ เราเริ่มด้วยการนำพาหนะของสมาชิกส่วนมาก จอดไว้ที่อ.บ้านตาก แล้วจึงนั่งไปคันเดียวกัน จุดหมายคือ ที่ทำการวนอุทยานฯ พิกัดตามรูป






ซึ่งทริปอื่นๆก็อาจแตกต่างกันไปบ้าง เห็นบางทริปก็จอดรถที่เทศบาลต.ทุ่งกระเซาะ แล้วแต่ว่า TM จะประสานงานไว้อย่างไร เมื่อถึงที่ทำการวนอุทยานฯก็ต้องย้ายไปนั่งรถที่จนท.จัดให้ เดินทางอีก 16 กิโลเมตร จึงถึงจุดเริ่มเดินเท้า




 อาจจะมีคนถามว่าถ้าจะขับรถมาเองแล้วจอดรถไว้ที่จุดเริ่มเดิน แล้วขึ้นไปเองได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แต่ท่านก็ต้องเสี่ยงกับการหลงทาง อันตรายอันเกิดจากสภาพหนทาง และจากสิ่งมีชีวิต(ทั้งแบบไม่มีขา 2ขา 4 ขา มากขา...)  อีกทั้งรถที่จอดไว้ก็ไม่มีใครดูให้ กลับลงมาก็อาจมีทริปต่อเนื่องคือ ทริปเดินกลับบ้าน ก็ลองพิจารณากันเองครับ ผมก็จำพิกัดไม่แม่นเท่าไหร่ แต่ก็คงห่างกันไม่มาก




เนื่องจากช่วงเวลาของทริปเราเข้าสู่ฤดูแล้งเต็มตัวแล้ว สภาพเส้นทางในช่วงประมาณ 3 กิโลเมตรแรก คือเส้นทางที่ลัดเลาะเลียบคลองแม่ไข บางช่วงเดินในคลอง เพราะไม่มีน้ำไหลแล้ว เส้นทางจะไต่ระดับความชันทีละน้อย สภาพเป็นป่าโปร่ง พื้นดินทราย เดินสบาย แถวนี้มีสัตว์ป่าให้เห็นจำนวนมากคือ คือ วัวป่า มีหลายหลายพันธ์ทั้งชาโลเล่ย์ บรามันท์ ฮินดูบราซิล และพันธ์ผสม แหะๆ มันคือวัวเลี้ยงนี่แหละ แต่ในฤดูแล้ง หญ้าหายาก ก็เลยต้องปล่อยให้หากินในป่า ผมเลยถือว่าเป็นสัตว์ป่า 555











 ช่วงที่ 2 ระยะประมาณ 4 กิโลเมตร จะเริ่มไต่ทางชันมากขึ้น เส้นทางแห้ง แข็ง เพราะเป็นภูเขาที่ประกอบด้วยหิน และดินทราย สภาพป่าก็ไม่รกมาก แต่ต้นไม้จะเริ่มหนาแน่นกว่าช่วงแรก เดินเริ่มรู้สึกเหนื่อย หอบ แต่ก็ยังไม่อันตราย






ช่วงที่ 3 ทางจะชันมาก ระยะประมาณ 2 กิโลเมตร สภาพป่ามีทั้งช่วงป่าโปร่ง มีไม้ใหญ่ ไม้สนเขา และป่าหญ้ารก ทางช่วงนี้จะอันตรายที่สุด เพราะชันมาก บางช่วงเดินเลาะผาชัน และพื้นส่วนใหญ่จะเป็นหิน ต้องไม่ประมาท พลาดอาจจบทริปและชีวิตได้ นี่ขนาดมาช่วงแล้งยังเสียวนะ ถ้ามาช่วงฝน คงอันตรายเพิ่มอีกหลายเท่า








ช่วงที่ 4 ระยะประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากไต่ทางชันแล้ว ก็มีช่วงนี้ให้ลั่นล้า เพราะทางไม่ชันมาก สภาพเป็นป่าสนเขา และทุ่งหญ้า ถ้าต้องการขึ้นไปดูวิว 360 องศา บนยอดเขาแรก(ไม่รู้ชื่อ) ระยะทางประมาณ 100 เมตร ก็ต้องออกแรงเหนื่อยกันหน่อย สามารถปลดสัมภาระทิ้งไว้ที่ตีนเขาได้ แต่ผมกับเพื่อนอีกคน ไม่รู้ ก็เลยแบกของเต็มเหนี่ยว เดินขึ้นลง เสียกำลังไปฟรีๆ








ช่วงสุดท้าย ระยะประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากลงจากจุดชมวิวแรกแล้ว ก็จะเดินผ่านป่าหญ้ารก ดงกล้วยป่า ป่าทึบ เส้นทางไม่ชันมาก สมาชิกทุกคนเดินทางถึงจุดตั้งแค้มป์ เวลาประมาณ 17.30 น. รวมระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตรหลายคนขอพักผ่อน กางเต้นท์ เตรียมอาหาร สมาชิกที่มีแรงเหลือก็เดินขึ้นไปชมวิวตอนพระอาทิต์ตก โดยเลยจากจุดตั้งแค้มป์ประมาณ 400 เมตร แต่ผมไม่ไหวแล้ว เลยขอตั้งมั่นที่แค้มป์ดีกว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน



ที่นี่มีแหล่งน้ำ(น้ำซับ) ใส เย็นเจี๊ยบ ไม่มีกลิ่น ดื่มได้(คนอื่นไม่รู้นะ แต่ผมจัดไปหลายลิตร ชื่น...จาย) โดยต้องเดินลงเขาไปประมาณ 200 เมตร ผ่านป่ารกชื้น ซึ่งถ้าเป็นหน้าฝน คงได้บริจาคเลือดเป็นแน่แท้ แต่ช่วงนี้หน่วยกาชาดท้องถิ่น หยุดพักร้อน ทางเลยสะดวกหน่อย



ทางลงไปแหล่งน้ำ ถ้าเป็นหน้าฝนได้บริจาคเลือดกันแน่นอน


อุปกรณ์อำนวยความสะดวกของจุดตั้งแค้มป์นี้ มีเพียงอย่างเดียวคือ ขวดน้ำ หลากยี่ห้อ หลายขนาด และปริมาณมากกก ห้องส้วมไม่มี ต้องอาศัยการเปิดพอร์ตลงทุนส่วนตัว ซึ่งกลุ่มเราเป็นชายล้วน ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้


หลังจากอาหารเย็น ก็มีการนั่งถกปัญหาระดับชาติกัน วาระสำคัญคือ ถึงใครแล้วโดยประธานฯก็ควบคุมการประชุมให้ไหลลื่น อากาศก็เย็นกำลังดี ประมาณ15-17 องศา มีลมพัดเป็นช่วงๆ ให้ความเย็นมาสัมผัสหนังหน้าและโคนขาอ่อน ของหมู่มวลสมาชิก ได้บรรยากาศยิ่งนัก วันนี้ท้องฟ้าเปิด มองเห็นดาวชัดเจน เต็มฟ้า ซึ่งถ้าไปเก็บภาพดาวบนยอดเขา น่าจะสวยงามกว่านี้ แต่ติดว่ามีวาระการประชุมอยู่ จึงปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ ถ้าได้มาอีกค่อยแก้ตัวใหม่


ทั่นประธานควบคุมการประชุม


ถุงสารพัดประโยขน์ มือก็ดี ทีนก็ด้าย




บรรยากาศการประชุมก็เป็นไปด้วยดี แต่จู่ๆ ก็ตึงเครียดขึ้นฉับพลัน เนื่องจากมีแสงไฟที่ไม่ทราบแหล่งที่มา สาดมาจากทางแหล่งน้ำ เวลาก็ดึกดื่นมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นเจ้าของแสงไฟน่าจะเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญ สมาชิกคนหนึ่งอาสาไปสอดแนมดูลาดเลา ส่วนที่เหลือจึงเงียบเสียง ปิดไฟ และซุ่มดูท่าที ด้วยใจระทึก...... 


ผ่านไปได้ประมาณ5นาที ก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ค่อยๆย่างกร่ายมา ซึ่งก็คือ...หน่วยสอดแนมที่ส่งไปนั่นเอง พร้อมกับข่าวอันน่าตกใจว่า.... ลูกหาบหน่ะพี่ เขาคงไปทำธุระส่วนตัว โธ่เอ้ย... สงสัยจะประชุมเครียดเกินไป คิดมโนกันไปไกล ว่าแล้ว ทั่นประธานจึงกล่าวปิดการประชุม.... ป่ะ นอนเหอะ


วันที่สอง


เราตื่นกันประมาณ 7 โมงเช้า ล้างหน้าล้างตาสลัดความงัวเงียแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ก็ออกเดินไปจุดชมวิวที่ ยอดดอยหลวง ซึ่งเป็นทางขึ้นเนินประมาณ 400 เมตร แต่เดินตัวเปล่า บรรยากาศโดยรอบก็ชวนให้เพลิดเพลิน จึงเป็นการขึ้นเนินที่ชิลๆมาก กดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง










ลงมาจากยอดดอย ทีมเชฟก็จัดเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆ แต่ไม่ธรรมดา พิชซ่าก็ยังมี ดูเอาเองแล้วกัน โรงแรมยังอาย เสร็จแล้วก็เตรียมตัวลงเขา โดยไม่ลืมจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย ไม่ทิ้งขยะให้รกตา กองไฟก่อแล้วก็ดับให้สนิท เพราะวันนี้จะมีนทท.ขึ้นยอดดอยมาพร้อมกันหลายกลุ่ม

ทีมเชฟสั่งตรงจากแม่สอด

หรูเริ่ด อลังมาก

 ขาลงก็ไม่ค่อยได้ลั่นชัตเตอร์กันมากนัก มีบ้างประปราย จุดอันตรายก็รู้กันอยู่แล้ว ก็ระวังกันเป็นพิเศษ ตอนลงเขามีนทท.เดินสวนไปประมาณ 30-40 คน และก็เจอกับคุณลุงท่านหนึ่ง อายุ 68 ปีแล้ว แต่ยังขึ้นดอยไหว มิหนำซ้ำแบกเป้เองด้วย พิชิตมาแล้วหลายสิบยอดเขา สำหรับใครที่ชอบเที่ยวแบบนี้ แต่ยังกังวลว่าจะเดินไม่ไหว ถ้าไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไรก็ลองดูคุณลุงเป็นตัวอย่างครับ มันอยู่ที่ใจ จริงๆ

68 ปี แค่ตัวเลข สตรองมาก




ซึ่งสิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาวันนี้คือเรื่องส้วม เกรงว่าจะมีการเปิดพอร์ตลงทุนซ้ำตำแหน่ง หรือเดินเหยียบการลงทุนที่ไม่มีพอร์ต ซึ่งคงทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยวไม่น้อย ผมจึงฝากพี่ล้วนให้เป็นการบ้านว่า น่าจะมีส้วมหลุม แบบที่เขาเย็น(อช.คลองวังเจ้า) เพราะผมได้ใช้บริการแล้ว ไม่ได้น่าสะพรึง สยองขวัญ แบบที่จินตนาการไว้ เพียงแค่มีปูนขาวให้เทราดหลังเสร็จกิจ ก็จะไม่มีกลิ่นรบกวน แถมดูเป็นที่เป็นทางด้วย

ส้วมออแกนิค ที่เขาเย็น อช.คลองวังเจ้า



กลุ่มเราทั้งหมดลงมาครบเมื่อเวลาประมาณ 16 นาฬิกา เนื่องจากลงมาถึงจุดขึ้นรถไม่พร้อมกัน คนที่ลงมาก่อน ได้จัดน้ำเย็นๆ พร้อมเครื่องดื่มแก้กระหาย ไว้รอสมาชิก 3 คนสุดท้าย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น มันช่างเป็นการจบทริปที่สมบูรณ์และชื่นใจจริงๆ


 สุดท้ายของบทความนี้ ขอบคุณพี่ล้วน จนท.นำทาง และลูกหาบที่ช่วยสนับสนุนการผจญไพรครั้งนี้ และขอบคุณเพื่อนใหม่ทุกๆท่าน ที่มอบมิตร ไมตรี และความเป็นกันเอง ไว้เจอกันทริปต่อไปครับ

จบทริป

อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่มุมขวาบนครับ