วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พิชิตเขาเย็น ขุนเขาที่ใกล้หมดศักดิ์ศรี? ตอนที่ 1



 สวัสดีครับ ทุกท่าน ก็เช่นเคย ถ้าเข้ามาอ่านบล๊อกผมก็คงไม่พ้นเรื่องท่องเที่ยว ซึ่งส่วนมากก็อย่างที่ผ่านมา ถ้าให้ผมเป็น Trip Manager หล่ะก็ รับรองว่า ต้องได้ลำบากแน่ แหะๆ  จริงๆผมก็ไปเที่ยวแบบทั่วไป กินอิ่ม นอนนิ่ม เหมือนกันนะ แต่ถ้าเอามาเล่าในบล๊อกก็คงไม่น่าติดตามเท่าไหร่ ส่วนทริปนี้ผมตั้งชื่อแบบมีเครื่องหมายคำถาม มันคืออะไร คงต้องเข้ามาอ่านเอาเองครับ

จองทริป

เขาเย็น(ไม่ใช่ช่องเย็นเน้อ คนละที่กัน) เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาในอุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองวังเจ้า จ.กำแพงเพชร มีความสูง 1800 เมตร โดยประมาณ เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวแนวเพชรพระอุมาขึ้นไปสัมผัสได้ 2 ปี (ปี 59 นี้เป็นปีที่ 2 ) แต่ในอุทยานฯยังมียอดเขาที่สูงกว่านี้คือ ประมาณ 1900 เมตร และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ในปี 59 นี้ เป็นปีแรก ซึ่งทริปยอด 1900 นี้ ผมก็เพิ่งรู้

ที่อุทยานฯแห่งนี้ผมเคยเข้ามากางเต้นท์และขับรถเข้าไปด้านในแล้ว แต่ก็ไปได้แค่ 17 กิโลเมตร เพราะเป็นฤดูฝน แถมรถผมก็ไม่ใช่รถ 16  ผมและเพื่อนก็เลยติดสัญญาใจกันไว้ว่า จะต้องมาพิชิตเขาเย็นให้ได้สักครั้ง 



แต่ด้วยภาระกิจรัดตัว ไม่ค่อยมีเวลา ก็เลยลืมๆไป จนกระทั่งเพื่อนไลน์มาเตือนว่า เข้าฤดู โหด มัน ฮา แล้ว ก็เลยแวะเข้าไปที่หน้าเพจของอุทยานฯ
https://www.facebook.com/Khlongwangchao/

ในหน้าเพจนี้เขาจะมีการแจ้งให้จองทริป ผ่าน inbox หรือจะโทรไปก็ได้ ตามแต่สะดวก ลองเข้าไปดูเอาแล้วกันครับ ปีนี้ทริปแรกเริ่ม 11 พ.ย. 59 ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม 3 วัน 2 คืน 1 หมื่นบาท ไม่รวมค่าลูกหาบ(ส่วนค่าจ้างลูกหาบจำไม่ได้แล้วครับ เพราะกลุ่มผมไม่ได้ใช้บริการ)

การจองนั้นสบายๆ แบบเบิร์ดๆ ไม่ยากเย็นเท่าโมโกจู ที่ต้องใช้ความเร็วแสงแย่งกันจองเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ชื่อเสียงก็ยังไม่กระฉ่อนเท่า แต่ถ้าไม่จองแต่เนิ่นๆก็อาจจะไม่ได้ช่วงเวลาที่ต้องการ ผมเองก็เข้าไปดูหลังจากที่เขาเปิดจองแล้วพอสมควร ก็ได้ทริปที่ 3 กลุ่มที่ 2 ช่วงเวลา 25-27 พ.ย. 59
 

เตรียมพร้อม

หลังจากจองได้แล้วก็หาสมาชิก ที่นี่เขาไม่ได้มีกำหนดจำนวนขั้นต่ำแต่จะจำกัดที่กลุ่มละไม่เกิน 10 คน ซึ่งจากการระดมหาคนมาหารค่าทริปทั้งไลน์ ทั้งเฟสแล้ว ก็ได้สมาชิกทั้งหมด 7 คน ซึ่ง... เป็นหน้าเก่าจากโมโกจูทั้งหมด รู้ทาง รู้สไตล์ กันพอสมควร ประมาณว่าได้กลิ่นตัวโชยมานี่รู้เลยว่าสมาชิกกลุ่มเราแน่

การเตรียมตัวก็เหมือนๆไปโมโกจู(อ่านในบล๊อกเก่าของผมได้ที่ http://oknation.nationtv.tv/blog/bukmay/2015/11/23/entry-1) 

อ้อ สำหรับคนที่ไม่อยากให้ผิวมีร่องรอยคล้ายโดนอุกาบาตพุ่งชนแถมคันยิกๆเป็นเดือน จากหน่วยบินจู่โจม(ตัวคุ่น) หรือไม่อยากบริจาคเลือดให้หน่วยกาชาดท้องถิ่น ก็หาวิธีป้องกันให้ดีนะ เพราะที่นี่ ชุมทั้ง 2 อย่าง 

ก่อนเริ่ม มีเคืองเล็กๆ

กลุ่มเราเข้ามานอนในอุทยานฯก่อนวันเริ่มทริป 1 คืน ซึ่งก็ต้องต้องจ่ายค่าเข้า ค่ากางเต้นท์ ต่างหาก ซึ่งมันควรจะรวมไปใน 1 หมื่นนั่น เหมือนโมโกจูนะ เพราะยังไงก็ต้องเข้าไปในอุทยานฯอยู่แล้ว แต่จนท.บอกว่า เพราะกลุ่มผมเข้ามาก่อนวันเริ่มทริป จึงต้องจ่ายต่างหาก บ่ะ! ถ้าเก็บเฉพาะค่ากางเต้นท์เพิ่ม ก็ไม่ว่ากัน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินครับ แต่มันเสียอารมณ์ เพราะก่อนมาผมก็ถามจนท.แล้วว่า รวมค่าเข้าอุทยานฯแล้วนะ และก็แจ้งกับสมาชิกในกลุ่มทุกคนทราบ แต่พอมาจริงดันมามีข้อแม้แบบนี้อีก เฮ้อ

อยากจะได้คำอธิบายนะ แต่.. อ่ะ ทริปก็จะเริ่มแล้ว ไม่อยากจะทำอะไรให้มันเคืองใจกัน เดี๋ยวทริปมันจะกร่อย แต่ที่เอามาเล่านี่ ก็เพื่อให้ทริปต่อๆไปทราบไว้ก่อน จะได้ไม่มาเซ็งแบบผม

เริ่มต้นทริป

มีการกรอกข้อมูลส่วนตัว เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ใครมีสมบัติเยอะ ก็เขียนพินัยกรรมไว้ด้วยก็ดี 555 เพราะมีจุดอันตรายหลายจุดอยู่เหมือนกันนะ  เสร็จแล้วก็มีการสรุปทริปคร่าวๆ ภาพรวมของอุทยานฯ สภาพพื้นที่ แล้วก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่ามากันกี่คน ขากลับก็ต้องกลับไปให้ครบ



เสร็จแล้วก็มาเตรียมตัวกันให้พร้อม น้ำหนักเป้ส่วนมากก็จะอยู่ประมาณ 13-17 กิโลกรัม มีอยู่คนเดียวทีเพดานการแบกพุ่งไปที่ประมาณ 30 กิโลกรัม ก็คนเดิมจากโมโกจูที่แบกของหนักสุดนั่นแหละ เพราะเล่นขนเสบียงแบบอยู่ได้เป็นอาทิตย์ไปด้วย 

จนเวลาประมาณ 9.00 น. ก็นั่งรถกลุ่มละคัน กลุ่มผมมีพี่อดุลย์ เป็นคนขับและจนท.นำทาง ระยะทางจากที่ทำการอุทยานฯ ถึงจุดเริ่มเดิน ประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง


อย่างที่บอกว่า ผมเคยขับรถเข้ามาเองแล้วครั้งนึง ก็พอรู้ว่าในพื้นที่ชาวบ้าน ชาวเขา ซึ่งอยู่มาก่อนประกาศอุทยานฯ เขาถางป่าทำไร่ ทำนากัน คือ ใครมีพื้นที่อยู่ก่อนแล้วก็ปล่อยให้ทำกินต่อไปได้ แต่ห้ามไม่ให้ถางป่าเพิ่ม แล้วเป็นแบบนั้นหรือไม่.....

แรกๆทิวทัศน์2ข้างทาง จะเป็นป่าที่ดูแล้วน่าจะสมบูรณ์ แต่....เมื่อนั่งรถเข้ามาลึกๆ ก็อย่างที่เห็นครับ ชาวบ้านเขาขยันจริงๆ พื้นที่ไร่ ดูแล้วน่าจะมากกว่าพื้นที่ป่า ภูเขาหลายๆลูก เหี้ยน เตียน หลายคนเห็นอาจจะมองว่าสวยงาม เหมือนไร่กะหล่ำ และเขารีสอร์ท ที่ฮิตๆกัน 






จนท.บอกว่ามีการถางเพิ่มตลอด ชาวบ้านก็อ้างว่าครอบครัวขยายขึ้น ลูกหลานเยอะขึ้น ต้องการที่ทำกินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนท.ก็ต้องตามยึดคืน ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น 
ด้วยความที่เคยไปที่ โมโกจู ห้วยขาแข้ง มาแล้ว ผมจึงรู้สึกตกใจ กับสิ่งที่เห็น เพราะถึงแม้ไม่ได้เป็นเขตมรดกโลก แต่เขตอุทยานคลองวังเจ้านี้ก็เป็นผืนป่าตะวันตกที่เชื่อมต่อกัน  แต่ความสมบูรณ์นั้นต่างกันมากจริงๆ 

ปัญหานี้มันคงไม่สามารถแก้ได้ง่ายๆ ผมเองก็คงไปบอกว่าใครผิดใครถูกไม่ได้ ซึ่งพวกเราชาวเมืองที่ต้องอาศัยผลผลิตจากชาวบ้านใส่ปากอยู่ทุกๆวัน ก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เหมือนอย่างเช่นกรณีเขาหัวโล้นที่จ.น่าน ที่ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนยังไง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ เพราะป่าที่ไม่มีป่าสมบูรณ์ ไม่มีสัตว์ป่า ก็คงไร้ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นป่า(อันนี้จำเขามา)

เรื่องดราม่า พอก่อน  มาว่าเรื่องบันเทิงกันต่อดีกว่า 

ก่อนถึงจุดปล่อยตัวนักกีฬา เอ้ย จุดเริ่มเดินเท้า ประมาณ 10 กิโล จะมีเซเว่นชาวดอยเป็นแหล่งช้อปแหล่งสุดท้าย ใครขาดเหลืออะไรก็หาเอาที่นี่หล่ะครับ มีครบ ในกลุ่มผมได้สตั๊ดชาวดอยจากที่นี่ คู่ละ 65 บาท เพราะดันเตรียมรองเท้าเดินชายทะเลคู่หลักพัน มาลุยป่า ปีนเขา ทำไปด้ายยยย นี่ถ้าไม่เจอเซเว่นชาวดอย ได้กลิ้งแน่นอน ขนาดไปโมโกจูมาแล้วนะนี่ยังมาพลาดเรื่องสำคัญอีก

 
 

เมื่อถึงจุดพักก่อนเดินเท้า เราก็จัดอาหารเช้าและเที่ยง แบบทูอินวันกันทีเดียวเลย แล้วเริ่มออกเดินเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.






เริ่มเดินจะผ่านป่าโปร่ง มีขึ้นเนิน ลงเนิน ไม่สูงมาก ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านคลอง 2 คลอง น้ำสามารถดื่มได้(จนท.ว่าไง ก็ว่าตามกัน) ทำให้ไม่ต้องแบกน้ำไปเผื่อมาก แต่เจ้าของสัมปทานแหล่งน้ำ(ทาก)เยอะทั้ง 2 แหล่ง หาวิธีป้องกัน หรือจะบริจาคเลือดเป็นค่าผ่านทาง ก็แล้วแต่สะดวก 
ที่นี่เราก็ได้พบสัตว์ป่าตัวเป็นๆ จะๆ ตัวเดียวในทริปนี้ คือ งู ที่เห็นแว๊ปๆก็มีพวกกระรอก พังพอน ส่วนสัตว์ใหญ่กว่านี้หาได้ยาก เจอก็เรียกได้ว่าถูกหวยเลย เพราะอะไรก็คงทราบแล้วจากข้อความก่อนหน้านี้  



สัตว์ป่าตัวใหญ่ที่สุดที่เห็นด้วยตาในทริปนี้
หลังคลอง 2 ก็จะเข้าช่วงโหดประมาณ 3.5 กิโลเมตร เป็นทางชัน90%  ช่วงชันมาก ต้องไต่ ต้องตะกาย บางช่วงเป็นผาหิน บางช่วงทางเดินกว้างเพียงแค่วางเท้าได้ พลาดก็คงจบทริปและอาจจบชีวิตด้วยเลย ห้ามประมาทเด็ดขาด 






หลังจากได้ทรมานจนสาแก่ใจ เราก็มาถึงแค้มป์แรกเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. รวมเวลาเดินประมาณ 4 ชัวโมง ที่นี่มีสัญญาณมือถือ แต่ไม่ทราบว่าของค่ายไหนนะ เห็นอีกกลุ่มใช้คุยอยู่ ใครอยากจะมาเฟสไลพ์บนแค้มป์ก็เอาซิมมาให้ครบทุกค่ายแล้วกัน

 แค้มป์แรกนี้สภาพเป็นไหล่เขา ดินนุ่ม มีพื้นที่เกือบราบ แค่พอให้กางเต้นท์ได้ แต่ก็ต้องออกแรงถางหญ้าและปรับพื้นที่ให้ได้ระนาบสักหน่อย ถ้าใครนอนละเมอแนนำให้มัดขาติดกับต้นไม้ไว้ เพราะเดินไปได้เกินสิบก้าวมีร่วง แหล่งน้ำก็มีพอให้ใช้ เป็นซับน้ำออกมาจากซอกหิน เย็นเจี๊ยบ ใช้ดื่ม ใช้อาบได้ ห่างจากจุดตั้งแค้มป์ลงเขาไปประมาณ 30 เมตร 





 ส้วมก็มีนะ เป็นส้วมออแกนิค ตามรูปเลย เห็นทีแรกก็ว่าจะไปหาที่เปิดพอร์ตลงทุนส่วนตัว แต่ก็ลำบาก ด้วยสภาพพื้นที่ แถมหญ้ารก ถ้ากลิ้งตกเขาไปด้วยเหตุนี้มันคงจะไม่คุ้ม และก็คงเป็นตราบาปในชีวิตไปตลอด ก็ต้องทำใจกันบ้าง จริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ 



สภาพอากาศช่วงค่ำเมฆจะปกคลุมเต็มทั่วบริเวณแค้มป์ มองได้ไม่ไกลมาก ลมไม่แรง อุณหภูมิประมาณ 20 องศา 




ดึกหน่อยฟ้าจึงจะไส มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า และแสงจากหลอดไฟของหมู่บ้านข้างล่าง ในใจผมคิดว่าดึกๆจะออกมาตั้งกล้องถ่ายดาวสักหน่อย แต่พอตื่นมาประมาณตี 4 มันหนาวยะเยือก น้ำค้างลงจนฟลายชีตเปียกเหมือนฝนตก คาดว่าน่าจะประมาณ 15 องศา เลยล้มเลิกแผน นอนต่อ เอาไว้ไปถ่ายบนยอดเขาคืนพรุ่งนี้ก็ได้ มั้ง......



ติดตามตอนที่ 2 ขึ้นไปด้านบน มุมขวาครับ

4 ความคิดเห็น: