วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พิชิตเขาเย็น ขุนเขาที่ใกล้หมดศักดิ์ศรี? ตอนที่2



วันที่ 2 วันสบายๆ
เช้าวันนี้พวกเราออกจากเต้นท์กันประมาณ 07.00 น. เพราะได้ยินเสียงคนตื่นแต่เช้าบอกว่า เมฆ หมอก เต็มแค้มป์ มองเห็นไม่เกิน 5 เมตร จริงๆแล้วจุดตั้งแค้มป์แรกนี้เหมาะสำหรับ ดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะทางทิศตะวันออกโล่ง ไม่มีสิ่งบดบัง ยกเว้น เมฆ หมอกนี่แหละ แถมพี่อดุลย์บอกว่าจะเริ่มเดินขึ้นยอดเขากันประมาณ 10.00 น. ระยะทางหน่อมแน้มประมาณ 2 กิโลเมตร ก็เลยนอนเกลือกกลิ้งเล่นอยู่ในเต้นท์ จนรู้สึกร้อนนั่นแหละ ถึงออกมาจากกระดองกัน เพื่อมาหาของกิน










เมื่อท้องอิ่ม ผ้าแห้ง และเริ่มร้อน ก็ออกเดินลุยหญ้ากัน จนท.บอกว่า ต้องเดินช้าๆ ก้าวทุกก้าวต้องระวัง เพราะ.....มัน..... ..จะถึงแค้มป์เร็วไป เวลาเยอะเดี๋ยวไม่มีอะไรทำ ก็เลย เดินไป พักไป ถ่ายรูป สบายๆ ผ่อนคลายดี เส้นทางมีชันบ้างแต่ก็ไม่ยากมาก






















เรามาถึงแค้มป์สองประมาณเที่ยงกว่าๆ ก่อนถึงที่กางเต้นท์จะมีกลุ่มก้อนหินไม่สูงมาก ให้ขึ้นไปแอ๊คท่าถ่ายรูป พี่อดุลย์บอกว่าอยากให้มีชื่อแบบหินเรือใบของโมโกจู และด้วยสภาพของหินที่เมื่อขึ้นไปยืนแล้วมันขยับได้ ผมเลยขอประเดิมชื่อว่า หินดุกดิก” 






ที่แค้มป์สองนี้ สภาพก็อย่างที่เห็น ที่ราบเยอะกว่าแค้มป์แรก ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ลมโชยๆ ไม่แรง ถ้าเมฆไม่มาช่วยบังพระอาทิตย์ให้ก็ร้อนระเบิดเถิดเทิง สัญญาณมือถือก็มีให้ใช้ เนื่องจากมองลงไปไม่ไกลก็จะเห็นถนนที่เชื่อมระหว่างแม่สอด-อุ้มผาง อยู่ด้านล่าง ซึ่งก็คงไม่ไกลจากชุมชนมากนัก







แหล่งน้ำมีคล้ายแค้มป์แรก แต่เดินไกลกว่า ส้วมก็เป็นแบบเดียวกัน

เนื่องจากมีเวลาเยอะ หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ ก็เป็นเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ แต่ส่วนมากจะนอน


ส้วมออแกนิคเหมือนแค้มป์แรก

จนเวลาประมาณ 16.30 น. พี่อดุลย์เห็นว่าพวกเราว่างจัด นั่งๆนอนๆ ไม่มีกิจกรรม ก็เลยมาชวนขึ้นไปถ่ายรูปที่ยอดเขา แล้วก็จะถือโอกาสเดินสำรวจพื้นที่ด้วย ก็มีสมาชิกกลุ่มเราบางคน และอีกกลุ่ม ส่งตัวแทนมา 1 คน เดินข้ามเขาเล่นกัน แหม่..ยังก่ะถ่ายหนังอินเดีย 






ขึ้นมาบนยอดจะเห็นเทือกเขาถนนธงชัย ด้านอำเภออุ้มผาง อยู่ด้านทิศตะวันตก แต่จะหาโอกาสกดชัตเตอร์ได้ ก็ต้องรอจังหว่ะเหมาะจริงๆ เพราะวันนี้เมฆเยอะมาก และก่อนลงยอดเขาก็เห็นสัญญาณความลำบากมาเยือน คือฟ้าแลบมาจากทางด้านจ.กำแพงเพชร เอาแล้วไง....












หลังจากกดชัตเตอร์กันจนพอใจแล้วก็ลงมาที่แค้มป์รอดูพระอาทิตย์ตก แต่กลับได้ดูฝนตกแทน ช่วงค่ำนี่ตก หยุด สลับกันไป ไม่แรงมาก โชคยังดีที่ลมไม่แรง ไม่งั้นคงลำบากกว่านี้ ตอนจองทริปก็ดูช่วงเวลาแล้วนะว่า ปลายเดือยพ.ย.น่าจะรอด แต่ก็โดนจนได้ ยังดีที่ผมเตรียมเสื้อกันฝนมาด้วยก็เลยสะดวกหน่อย ใครไม่เตรียมมาก็ตากฝนกินข้าวไป แต่แบบนี้ก็ดีไปอย่าง ได้บรรยากาศเดินป่าแบบครบ3ฤดูไปเลย




ช่วงกลางดึก ฝนก็เริ่มตกหนักและไม่มีทีท่าจะหยุด ผมต้องออกมาสำรวจฟลายชีตให้พร้อมรับสถานะการณ์ เพราะว่าเต้นที่เอามามูลค่า 199 บาทคงไม่สามารถพึ่งพาได้ ถ้าเกิดฟลายชีตโดนลมตีปลิวไป สงสัยได้นอนแช่น้ำแน่นอน เต้นท์เพื่อนที่ตั้งข้างๆกัน ดีกว่าหน่อย 399 บาท ไม่มีฟลายชีต ได้ยินเสียงบอกว่าหยดแล้วๆ แต่ยังเอาอยู่ ว่าแล้วก็นอนต่อ อุณหภูมิก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 15 องศา เพราะไม่รู้สึกว่าหนาวกว่าคืนแรก(ผิดหวังเล็กๆนะเนี่ย ชื่อเขาเย็น นึกว่าจะหนาวเย็นกว่านี้) ส่วนโครงการล่าช้างเผือกของผม พับเก็บเข้าเป้ไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำ รู้งี้ถ่ายซะตั้งแต่มื่อคืนก็ดี



วันสุดท้าย ฉ่ำ แฉะ

หลังจากนอนฟังเสียงฝนตก เพลิน อากาศก็เย็นกำลังดี หลับสบาย ตื่นมาประมาณตีห้า ก็ยังได้ยินเสียงฝนตกอยู่ เต้นท์อื่นๆก็เห็นเปิดไฟกันแล้ว แต่ไม่มีใครอยากออกมาเปียก ก็เลยมุดเข้าเต้นท์ต่อ

วันนี้ตามที่วางแผนไว้ เราจะเริ่มลงเขาประมาณ 8.00 น. เพื่อให้ไปถึงจุดขึ้นรถก่อนเที่ยง แล้วไปเที่ยวน้ำตกเต่าดำ ซึ่งต้องขับรถไปอีก 1 ชั่วโมง แต่โครงการนี้ก็ต้องพับเก็บใส่เป้กลับบ้านไปอีก เพราะพระพิรุณไม่ออกวีซ่าให้

ขอบคุณภาพจาก http://travelpangsida.blogspot.com/2013/12/blog-post.html
 

พวกเราต้องตากฝนมาต้มมาม่ากินรองท้องกันไปก่อน แล้วก็เข้าเต้นท์รอให้ฝนหยุด ซึ่งรอแล้วรออีกก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พี่อดุลย์เลยมาแจ้งว่า คงต้องลงเขาทั้งๆที่ฝนตกนี่แหละ ก็เลยเก็บเต้นท์กันทั้งเปียกๆลงเขาประมาณ 09.30 น.






การเดินลงเขาชันท่ามกลางสายฝนนี่มันโหด มันส์ เละ ลื่น หนาว และอันตราย ต้องค่อยๆไต่ลง มีไถล มีกลิ้ง ทุกคน เพราะรองเท้าไม่ว่าจะมีดอกลึกแค่ไหน แต่ดินมันเละไปหมด ก็ลื่นได้ง่ายๆ ก็ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหนัก ลงมาได้ครบ ถึงจุดขึ้นรถประมาณ 13.00 น. และก็เป็นไปอย่างที่คิด ลงมาพื้นราบปุ๊ป ฝนหยุดปั๊ป ขอบคุณจริงๆลย




เปียก เละ ทุกคน แต่ก็รอดมาได้


หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับเข้าอุทยานฯ แต่สภาพเส้นทางไม่เหมือนตอนมาที่แห้งสนิท ตอนนี้มันเละ ลื่น แถมรถไม่ใช่ 16 แค่ยกสูง ต้องอาศัยความชำนาญของคนขับเพื่อให้รอดออกมาได้ มีจังหว่ะไถล ท้ายปัดกันให้พอเสียวหลังวาบๆ แต่ก็ไม่ผิดหวัง พี่อดุลย์และเพื่อนพขร.อีกคัน พาสมาชิกทริปที่ 3 ทั้ง 2 กลุ่ม มาถึงที่ทำการอุทยานฯโดยปลอดภัยทุกคน








มาถึงอุทยานฯ ประมาณบ่ายสองกว่าๆ มีการแจกใบประกาศฯให้กับทุกคนที่กลับลงมาได้ อาบน้ำ พักผ่อนสักครู่ แล้วสมาชิกก็แยกย้ายกันกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีทางของตัวเอง เหมือนเช่นที่ผ่านมา รอโอกาสเหมาะที่จะได้มาพบกันเพื่อหาความลำบากใส่ตัวอีกครั้ง ถ้ายังไหว....... และใจยังถึง

จบแล้วครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้ว ติ ชม ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ

    ตอบลบ